เปิดกฎหมาย "สมรสเท่าเทียม" ทั้ง 4 ฉบับ เหมือนและต่างกันอย่างไร

สมรสเท่าเทียม เมื่อวานนี้ (21 ธ.ค. 2566) สภาผู้แทนราษฎร มีมติให้ยอมรับหลักการร่างพระราชบัญญัติฯ “การแต่งงานเท่าเทียม” จำนวน 4 คำถาม ในวาระที่ 1 ด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 369 เสียง ไม่เห็นด้วย 10 เสียง งดออกเสียง 0 เสียง และงดออกเสียง 1 เสียง พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการวิสามัญเพื่อทบทวนวาระที่ 2 รวมทั้งหมด 39 เสียง ประชากร

ร่างกฎหมายที่จะถูกนำไปพิจารณาในสภาทั้ง 4 ฉบับ ประกอบด้วย

  1. ร่าง พ.ร.บ. ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ
  2. ร่าง พ.ร.บ. ซึ่ง ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ พรรคก้าวไกล กับคณะเป็นผู้เสนอ
  3. ร่าง พ.ร.บ. ซึ่ง อรรณว์ ชุมาพร กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 11,611 คน เป็นผู้เสนอ
  4. ร่าง พ.ร.บ. ซึ่ง สรรเพชญ บุญญามณี พรรคประชาธิปัตย์ กับคณะเป็นผู้เสนอ 

แล้วร่างกฎหมายทั้ง 4 ฉบับข้างต้น มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง Sanook สรุปสาระสำคัญของทั้ง 4 ร่างแบบครบจบในที่เดียวมาฝากทุกคน

หลักการเดียวกัน คือ “การสมรสระหว่างบุคคล 2 คน”

กฎหมายการแต่งงานที่มีผลใช้บังคับในประเทศไทยในปัจจุบัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์) มาตรา 1448 ระบุว่า “การแต่งงานอาจทำพิธีได้เมื่อชายและหญิงมีอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์ แต่ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร ศาลสามารถอนุมัติการสมรสได้ก่อนวันที่ดังกล่าว » ในพระราชบัญญัติความเสมอภาคในการสมรสทั้ง 4 ฉบับ มีพื้นฐานอยู่บนหลักการเดียวกัน คือ “การแต่งงานระหว่างคนสองคน” หรือใช้คำว่า “บุคคล” แทน “ชายและหญิง” » ซึ่งรวมถึง ถึงคนทุกเพศทุกวัย แต่อาจมีถ้อยคำต่างกันออกไป

ร่างกฎหมายทั้งสี่ฉบับกำหนดให้เมื่อจดทะเบียนแล้วจะต้องใช้คำว่า “คู่สมรส” ด้วย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากกฎหมายเดิมที่กำหนดให้ใช้คำว่า “สามีและภรรยา” หรือคู่สมรส

อายุที่แต่งงานได้

ในส่วนอายุการสมรสนั้น ใน ป.พ.พ. กำหนดว่าต้องอายุ 17 ปี บริบูรณ์ ซึ่งในร่าง พ.ร.บ. ของครม. และของพรรคประชาธิปัตย์ ได้กำหนดอายุการสมรสที่ 17 ปีเหมือนเดิม ทว่า ในส่วนของภาคประชาชนและของพรรคก้าวไกล ได้กำหนดอายุไว้ที่ 18 ปีบริบูรณ์

การหมั้น

สำหรับเรื่องการหมั้น ร่าง พ.ร.บ. ของภาคประชาชน ไม่ได้เสนอให้มีการแก้ไข เนื่องจากมองว่าไม่ต้องหมั้นก็สามารถแต่งงานได้ แตต่ในร่างของ ครม. และพรรคก้าวไกล ใช้คำว่า “บุคคลทั้งสองฝ่าย ผู้หมั้น ผู้รับหมั้น” 

การใช้นามสกุลของคู่สมรส

สำหรับเรื่องการใช้นามสกุลของคู่สมรส ร่าง พ.ร.บ. ของพรรคก้าวไกล, พรรคประชาธิปัตย์ และของภาคประชาชน ได้อนุญาตให้ใช้นามสกุลของคู่สมรสได้ ยกเว้นร่าง พ.ร.บ. ของ ครม. ที่ไม่ได้ระบุเรื่องนี้ไว้

ให้สิทธิทุกคนเท่าเทียมกัน

ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมทั้ง 4 ฉบับ ให้สิทธิกับคู่รักเพศเดียวกันเท่าเทียมกับทุกคน โดยกำหนดให้สิทธิในการจัดการทรัพย์สินร่วมกัน สามารถรับบุตรบุญธรรมร่วมกันได้ สามารถรับมรดกจากคู่สมรสได้ รวมไปถึงสามารถตัดสินใจแทนกันทางการแพทย์ได้

ทั้งนี้ ในร่าง พ.ร.บ. ของ ครม. และพรรคก้าวไกล ไม่ปรากฏว่ามีการแก้ไขกฎหมาย ป.พ.พ. เกี่ยวกับบิดามารดากับบุตร แต่ในร่างของภาคประชาชน ได้เสนอให้เปลี่ยนคำในกฎหมาย ที่ระบุคำว่า “บิดา มารดา” ให้เป็นคำว่า “บุพการี” 

ใครเป็นผู้รักษาการ

ในร่าง พ.ร.บ. ของ ครม. นั้น ได้กำหนดให้ “นายกรัฐมนตรี” เป็นผู้รักษาการตามร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ขณะที่ 3 ร่างที่เหลือ กำหนดให้ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย” เป็นผู้รักษาการ

ขณะที่เรื่องระยะเวลาบังคับใช้หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษานั้น ร่างของภาคประชาชนและพรรคประชาธิปัตย์ กำหนดไว้ที่ 60 วัน ในขณะที่ร่างของ ครม. และพรรคก้าวไกล ได้กำหนดเอาไว้ที่ 120 วัน

ขอขอบคุณบทความจาก : Sanook